ประเด็นคำถาม
๑. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นถูกควบคุม ขัง หรือจำคุกในคดีอาญา ถือว่าละทิ้งหน้าที่ราชการหรือไม่
๒. กรณีดังกล่าวต้องตั้งกรรมการสอบสวนหรือไม่ ๓. สภาพความเป็นข้าราชการสิ้นสุดลงเมื่อใดสรุปคำตอบ ๑. ไม่ถือว่าละทิ้งหน้าที่ราชการโดยไม่มึเหตุผลอันสมควร แต่.. ๒. หากคดีถึงที่สุด ย่อมเป็นดุลพินิจของนายกฯ ว่าจะดำเนินการทางวินัยโดยไม่สอบสวน หรืองดการสอบสวนหรือไม่ เนื่องจากเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง
๓. เมื่อดำเนินการครบถ้วนแล้ว ปกติถือวันต้องถูกควบคุม ขัง หรือจำคุกในคดีอาญาเป็นวันสิ้นสภาพความเป็นข้าราชการขยาย
ความประเด็น
๑. นายกฯ ต้องดำเนินการ ดังนี้
(๑) รายงานไปยัง ก.จังหวัดเพื่อขอความเห็นชอบให้ออกจากราชการไว้ก่อน หากถูกควบคุม ขัง หรือจำคุกในคดีอาญาเกินกว่า ๑๕ วันแล้ว [ข้อ ๑๔ (๕)]
(๒) ดำเนินการทางวินัยไปพร้อมกัน (ว ๔)
๒. เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ไม่ถือเป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้ง นายกฯ ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง (ข้อ ๒๖ ว ๖)
๓. เพียงถูกคุมขัง หรือจำคุกในคดีอาญา สภาพความเป็นข้าราชการยังคงอยู่ และสิ้นสุดลงเมื่อ (๑) กรณีถูกแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ก.จังหวัด มีมติให้ลงโทษปลดออก/ไล่ออกจากราชการ เนื่องจากต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก (ข้อ ๒๓ ว ๒) (การสอบสวนแล้วเสร็จ มักล่วงเลยระยะเวลาอุทธรณ์/ฎีกาแล้ว) โดยนายกฯ ต้องออกคำสั่งลงโทษปลดออก/ไล่ออกจากราชการ ตามมติ ก.จังหวัด ตั้งแต่วันต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันต้องคำพิพากษาถึงที่สุด หรือวันถูกคุมขังติดต่อกันจนถึงวันต้องคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี [ข้อ ๓๓ (๓)] (๒) กรณีข้างต้นมีผลทำให้พ้นจากสภาพความเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น/พนักงานจ้าง (ม.๑๕ ว ๑)
ขอบคุณข้อมูล ชมรมนิติกร อปท.