การติดต่อราชการที่สถานีตำรวจ
การแจ้งเหตุหรือการแจ้งข่าวอาชญากรรม การแจ้งความต่างๆ การชำระค่าปรับ กิจธุระที่ต้องขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจ
การแจ้งเหตุ
ประชาชนสามารถให้ความช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ด้วยการช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่องพบเห็นเหตุร้ายหรือพฤติกรรมมีพิรุธน่าสงสัย เข้าข่ายอาชญากรรมประเภทต่างๆ เช่น ลักทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฯลฯ ตลอดจนอุบัติเหตุร้ายแรงที่ต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักสำคัญในการคลายทุกข์ร้อนของประชาชน
วิธีการแจ้งข่าวอาชญากรรม สามารถกระทำได้ ดังนี้
1. พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือฝ่ายปกครองในท้องที่ที่เกิดเหตุ
2. แจ้งเหตุทางโทรศัพท์ ซึ่งแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ
– โทรศัพท์หมายเลขฉุกเฉินโดยตรงของทางราชการ เช่น เหตุด่วนเหตุร้าย โทรแจ้ง 191
– โทรศัพท์แจ้งเหตุในรายการวิทยุต่าง ๆ ที่สามารถประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทันท่วงที
3. แจ้งเหตุทางจดหมายไปยังสถานีตำรวจในท้องที่
ข้อควรทราบในการแจ้งข่าวอาชญากรรมทางโทรศัพท์ เมื่อพบเห็นเหตุร้าย อย่ามัวแต่ตกใจ ควรระงับสติอารมณ์แล้วแจ้งเหตุแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจทันที พยายามจดจำข้อมูลรายละเอียดต่างๆ ของเหตุการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งสำคัญที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการมากที่สุด คือ
1. เหตุร้ายนั้นเป็นเหตุอะไร เช่น ฆ่าคนตาย รถชนกัน ปล้นทรัพย์ ฯลฯ
2. เหตุนั้นเกิดที่ไหน ระบุสถานที่ให้ชัดเจนถูกต้อง
3. คนร้ายมีลักษณะอย่างไร บอกรูปพรรณสัณฐานของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าเป็นยานพาหนะ ก็ควรสังเกตว่ายานพาหนะนั้นมีป้ายทะเบียนหรือไม่ ถ้ามีเป็นหมายเลขอะไร เหล่านี้เป็นต้น
การติดต่อกับสถานีตำรวจทางโทรศัพท์ เป็นวิธีการที่น่าเชื่อว่าประชาชนจะสะดวก รวดเร็วและเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงเล็งเห็นและมุ่งที่จะปรับปรุงการให้บริการรับแจ้งเหตุต่าง ๆ ทางโทรศัพท์นี้ให้มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไป เท่าที่ผ่านๆ มาการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้คนในสังคมกับสถานีตำรวจทางโทรศัพท์นี้ส่วนใหญ่ก็จะได้รับการบริการเป็นที่น่าพึงพอใจ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ตระหนักถึงความรู้สึกของผู้คนในสังคมที่ได้ใช้วิธีการติดต่อกับสถานีตำรวจทางโทรศัพท์และพบว่า บางครั้งประชาชนที่ใช้วิธีการแจ้งเหตุทางโทรศัพท์ก็ไม่ได้รับบริการอย่างเหมาะสม หรือบางครั้งการบริการล่าช้ามาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงมุ่งที่จะที่จะหาทางแก้ไขปัญหาแม้ว่าจะเป็นส่วนน้อยที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ทางโทรศัพท์เพื่อมุ่งที่จะทำให้วิธีการแจ้งเหตุทางโทรศัพท์นี้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นวิธีที่ประชาชนได้เรียกใช้บริการของสถานีตำรวจได้ อย่างมั่นใจ สะดวก รวดเร็ว และเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด
แนวทางการแจ้งเหตุทางโทรศัพท์ใหม่นี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ การแจ้งเหตุของประชาชนในแต่ละครั้ง จะได้รับการตอบสนองที่เหมาะสมในเวลาอันควรจากตำรวจผู้ให้บริการ และเพื่อให้ประชาชนได้มีหลักประกันและเกิดความมั่นใจว่า คำขอรับบริการที่แจ้งเหตุไปถึงตำรวจแล้ว จะได้รับการบริการที่เหมาะสม สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้กำหนดวิธีการในการให้ทุกสถานีให้หมายเลขโทรศัพท์ติดต่อกับสถานีเป็น 4 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 หมายเลขโทรศัพท์ของสถานีตำรวจที่เป็นหมายเลขหลักที่จะให้ประชาชนได้ใช้เป็นหมายเลขติดต่อกับแต่ละสถานีเพื่อแจ้งเหตุ
ระดับที่ 2 หมายเลขโทรศัพท์ของหัวหน้าสถานี เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ติดต่อกับหัวหน้าสถานีตำรวจในการที่ไม่ได้รับความสะดวก หรือไม่ได้รับการดำเนินการจากเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานในเวลาอันควร
ระดับที่ 3 หมายเลขโทรศัพท์ของผู้ควบคุมการปฏิบัติงานของสถานีตำรวจ คือ ผู้บังคับการ ตำรวจนครบาลเขต หรือผู้บังคับการจังหวัดเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ติดต่อกับผู้ควบคุมการปฏิบัติงานของสถานีเพื่อแจ้งเหตุความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับทราบ รวมทั้งเป็นการเร่งรัดการดำเนินการต่างๆ ให้ถูกต้องเหมาะสม
ระดับที่ 4 หมายเลขโทรศัพท์ของศูนย์ปฏิบัติการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (2555311 -4) เป็นหมายเลขที่ให้ประชาชนได้ใช้เป็นหลักประกัน เพื่อความมั่นใจว่า หากไม่ได้รับความสะดวกหรือการบริการที่เหมาะสมจากผู้ปฏิบัติงานตำรวจในพื้นที่แล้ว ก็จะสามารถแจ้งความไม่สะดวก หรือการบริการที่ไม่เหมาะสมให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ทราบเพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้เข้าไปตรวจสอบ และพิจารณาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อพัฒนาการบริการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป
ในเบื้องต้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความกรุณาผู้ที่ต้องการจะติดต่อขอรับบริการเจ้าหน้าที่ตำรวจติดต่อตรงไปยังสถานีตำรวจที่รับผิดชอบเขตพื้นที่ก่อน หากไม่ได้รับความสะดวก หรือไม่ได้รับการดำเนินการในเวลาอันควร ขอความกรุณาติดต่อไปยังหมายเลขโทรศัพท์ระดับถัดไปได้ทีละระดับ ตั้งแต่หัวหน้าสถานีตำรวจ ผู้บังคับการเขตหรือจังหวัด และสุดท้ายหากยังไม่ได้รับการบริการที่เหมาะสม ขอได้โปรดแจ้งไปยังศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้ใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาการปฏิบัติงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และเป็นระบบการตรวจสอบให้บริการประชาชนของสถานีตำรวจอีกทางหนึ่งด้วย
การแจ้งข่าวอาชญากรรม สามารถแบ่งเป็น
1. การแจ้งข่าวก่อนเกิดเหตุ ช่วยกันจับตาดูแลสอดส่องพฤติกรรมของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย ดังนี้
– ผู้ร้ายมักมีพฤติกรรมการลักเล็กขโมยน้อย หรือลักโค กระบือ
– อันธพาล นักเลง
– ผู้ติดยาเสพติดผิดกฎหมาย เช่น ฝิ่น กัญชา เฮโรอีน สารระเหย
– มือปืนรับจ้าง
– บุคคลแปลกหน้าที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย
– แหล่งซ่องสุมหรือหลบซ่อนตัวของคนร้าย หรือรับซื้อของโจร
– แหล่งค้ายาเสพติด
– แหล่งล่อลวงหญิงค้าประเวณี หรือทารุณกรรม
– แหล่งกักขัง ใช้แรงงานเด็ก หรือใช้แรงงานคนต่างด้าวผิดกฎหมาย
2. การแจ้งข่าวขณะเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ
– แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที หากได้พบเห็นบุคคลเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิด จดจำลักษณะ ตำหนิรูปพรรณ และยานพาหนะของผู้นั้น
– ให้ข้อเท็จจริงกับเจ้าหน้าที่อย่างละเอียด ไม่บิดเบือน เพื่อผลการดำเนินงานสอบสวนติดตามผลจะได้ถูกต้องแม่นยำ รวดเร็ว
– ถ้าเหตุร้ายมีผลต่อสาธารณชน เช่น อัคคีภัย ควรแจ้งตำรวจดับเพลิงหรือกรณีที่พบอุบัติเหตุรถชนกัน มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ควรรีบแจ้งเจ้าหน้าที่โดยด่วนแล้วช่วยดูแลทรัพย์สินของผู้ประสบเหตุ
การสังเกตจดจำตำหนิลักษณะคนร้าย จะมีประโยชน์ในการสืบสวนปราบปรามผู้กระทำผิดได้ง่ายขึ้น ประชาชนควรศึกษาหลักการสังเกตจดจำรูปพรรณ ดังต่อไปนี้
1. จดจำลักษณะใหญ่ เห็นง่าย
2. จดจำลักษณะเด่น ตำหนิ
3. เลือกจดจำลักษณะเพียงบางอย่างที่สามรถจำได้อย่างแม่นยำ
4. เมื่อคนร้ายหลบหนีไป รีบจดบันทึกทันทีตามที่เห็นจริง
5. มอบรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง
———————————————————————-
การแจ้งความต่าง ๆ เมื่อประชาชนประสบเหตุเดือดร้อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม หน่วยงานสำคัญที่จะเป็นที่พึ่งได้ในยามเกิดปัญหา คือ สถานีตำรวจตามกฎหมายได้ให้สิทธิแก่ประชาชนในการร้องทุกข์หรือแจ้งความเรื่องต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ รวมไปถึงกำหนดหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องเอาใจใส่ต่อคำร้องทุกข์ของประชาชน จะละเลยไม่ได้
สงสัยหรือเปล่าล่ะว่า แจ้งความ กับ แจ้งเหตุ ต่างกันอย่างไร
การแจ้งเหตุ คือ เมื่อเรามีเหตุการณ์ร้ายแรงใดๆ ก็ควรช่วยเหลือสังคมด้วยแจ้งเหตุการณ์ที่เห็นแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อจะได้ช่วยเหลือได้ทันท่วงที
การแจ้งความ คือ เมื่อเรามีเรื่องทุกข์ร้อน และนำเรื่องนั้นไปแจ้งหรือร้องทุกข์แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว มันจะกลายเป็นคดีความระหว่างเราซึ่งเป็นผู้เสียหายกับคู่กรณี ดังนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องเรียนรู้ถึงวิธีปฏิบัติ รวมทั้งการเตรียมเอกสารในเรื่องที่จะแจ้งความนั้นให้พร้อม เพื่อจะทำให้การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น
1. แจ้งความเอกสารสำคัญหาย
เช่น ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ จักรยานยนต์ โฉนดที่ดิน ใบสำคัญต่างๆ ฯลฯ มีขั้นตอนดังนี้คือ ยื่นคำร้องแจ้งว่าเอกสารดังกล่าวหายต่อสถานีตำรวจท้องที่ที่เกิดเหตุ จากนั้นเจ้าพนักงานจะตรวจสอบว่าจริงหรือไม่ แล้วลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งออกหลักฐานการแจ้งความเอกสารหายเพื่อให้ท่านนำไปยังหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องสำหรับดำเนินการต่อไป
2. แจ้งความคนหาย
หลักฐานต่างๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ
– บัตรประจำตัวผู้หาย หรือสำเนาบัตรที่ถ่ายเก็บไว้ (ถ้ามี)
– สำเนาทะเบียนบ้านผู้หาย
– ภาพถ่ายคนหาย (เป็นภาพถ่ายปัจจุบัน)
– ใบสำคัญทางราชการ เช่น ใบเกิด ใบสำคัญทหาร (ใบกองเกิน ใบกองหนุน)
3. แจ้งความรถหรือเรือหาย
หลักฐานต่างๆ ที่ควรนำไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ
– ใบทะเบียนรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือพาหนะอื่นๆ ที่หาย
– ใบรับเงินหรือสัญญาซื้อขายเท่าที่มี
– ถ้าเป็นตัวแทนห้างร้าน บริษัท ผู้ไปแจ้งความควรมีหนังสือมอบอำนาจจากเจ้าของหรือผู้จัดการของห้างร้าน บริษัทนั้นๆ ไปรวมทั้งหนังสือรับรองบริษัทด้วย
– หนังสือคู่มือประจำรถที่ทางบริษัทห้างร้านออกให้ ถ้าไม่มีก็ให้จำสีรถ แบบ ยี่ห้อ หมายเลขประจำเครื่องและตัวรถไปด้วย (ถ้ามี)
– หากมีภาพถ่ายรถหรือเรือที่หายให้นำไปด้วย
4. แจ้งความอาวุธปืนหาย
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
– ทะเบียนใบอนุญาตอาวุธปืน
– ใบเสร็จ รับเงินที่บริษัทห้างร้านขายปืนออกให้ ( ถ้ามี )
– ภาพถ่ายปืนที่หาย
5. แจ้งความทรัพย์สินหาย
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
– ใบเสร็จรับเงินซื้อขาย หรือหลักฐานการแสดงการซื้อขายทรัพย์สินนั้น
– รูปพรรณทรัพย์สิน ๆ เช่น หมายเลขเครื่อง ฯลฯ ( ถ้ามี )
– ตำหนิหรือลักษณะพิเศษต่าง ๆ
– ภาพถ่ายของทรัพย์สินที่หาย ( ถ้ามี )
ในกรณีที่คนร้ายขโมยทรัพย์สินในบ้านหรือสำนักงาน ให้รักษาร่องรอยหลักฐานในที่เกิดเหตุไว้ อย่าให้ใครเข้าไปเคลื่อนย้ายหรือแตะต้องจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมาดำเนินการ
6. แจ้งความพรากผู้เยาว์
ผู้เยาว์ คือ ผู้ที่อายุยังไม่ถึง 20 ปี หรือยังไม่บรรลุนิติภาวะ ข้อหาพรากผู้เยาว์เป็นอย่างไร คงจำกันได้ดีถึงกรณีพิพาทอื้อฉาวบนหน้าหนังสือพิมพ์ระหว่างนักร้องหญิงวัยรุ่นกับแม่ของเธอ เรื่องมันก็มีอยู่ว่าสาวเจ้าล่นประกาศปาว ๆ จะอยู่กินกับแฟนหนุ่ม แถมท้องได้ 4 เดือนเสียด้วย ทั้ง ๆ ที่ อายุยังไม่ถึง 20 ปี เล่นเอาคุณแม่ต้องวิ่งโร่ไปแจ้งความกับตำรวจในข้อหาพรากผู้เยาว์น่ะสิ เห็นชัดแล้วใช่มั้ยว่าการพรากผู้เยาว์เป็นอย่างไร ใครที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ เวลาจะขึ้นโรงพักไปแจ้งตำรวจ ก็อย่าลืมเตรียมเอกสาร ดังนี้
– สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เยาว์
– ใบเกิดของผู้เยาว์(สูติบัตร)
– รูปถ่ายของผู้เยาว์
– ใบสำคัญอื่นๆเกี่ยวกับผู้เยาว์ (ถ้ามี)
7. แจ้งความถูกข่มขืนกระทำชำเรา
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
– เสื้อผ้าของผู้ถูกข่มขืน ซึ่งมีรอยเปื้อนอันเกิดจากการข่มขืน และสิงของต่างๆ ของผู้ต้องหาที่ตกอยู่ในสถานทีเกิดเหตุ
– สำเนาทะเบียนบ้านของผู้เสียหาย
– รูปถ่ายหรือที่อยู่ของผู้ต้องสงสัยตลอดจนหลักฐานอื่นๆ(ถ้ามี)
8. แจ้งความถูกทำร้ายร่างกายและเหตุฆ่าคนตาย
ดำเนินการดังนี้
– รักษาสถานที่เกิดเหตุไว้อย่าให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามหรือเคลื่อนย้ายสิ่งของต่างๆในที่เกิดเหตุจนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จะดำเนินการ
– ดูแลรักษาอาวุธของคนร้ายหรือพยานหลักฐานต่างๆเพื่อส่งมอบแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
– บอกรายละเอียดต่างๆเท่าที่สามารถบอกได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทราบ
9. แจ้งความถูกปลอมแปลงเอกสาร
นำหลักฐานต่างๆไปดังนี้
– ใบสำคัญตัวจริง เช่น โฉลด แบบ น.ส.3 หนังสือสัญญา ใบเสร็จรับเงิน ฯลฯ
– หนังสือปลอมแปลง
– ตัวอย่างตราที่ใช้ประทับหรือลายเซ็นในหนังสือ
10. แจ้งความถูกฉ้อโกงทรัพย์
เตรียมหลักฐานดังนี้
– หนังสือหรือหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวกับการถูกฉ้อโกง
– หลักฐานแสดงการเป็นผู้ครอบครองทรัพย์
– หนังสือหรือหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของทรัพย์
11. แจ้งความถูกยักยอกทรัพย์
ควรเตรียมหลักฐานดังนี้
– หนังสือสำคัญที่เป็นหลักฐานว่าได้มีการมอบหมายทรัพย์ให้ไปจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง
– ใบสำคัญแสดงการเป็นเจ้าของ
– สำเนาหรือคำสั่งศาล หรือพินัยกรรมในกรณีผู้กระทำผิดเป็นผู้จัดการทรัพย์สินผู้อื่นตามคำสั่งศาลหรือพินัยกรรม
12. แจ้งความถูกยักยอกทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวกับการเช่าซื้อ
ควรเตรียมหลักฐาน ดังนี้
– สัญญาใบเช่าซื้อหรือสำเนา
– ใบสำคัญติดต่อซื้อ ขาย เช่า ยืม หรือฝาก
– ใบสำคัญที่บริษัทห้างร้านออกให้โดยระบุรูปพรรณ ยี่ห้อ สี ขนาด น้ำหนัก และเลขหมายประจำตัว
13. แจ้งความกรณีทำให้เสียทรัพย์
ควรเตรียมเอกสาร ดังนี้
– หลักฐานต่างๆ แสดงการเป็นเจ้าของหรือครอบครองทรัพย์นั้น
– หลักฐานหรือสิ่งของที่เสียหายเท่าที่มีหรือเท่าที่นำไปได้
– หากเป็นของใหญ่โต หรือทรัพย์ที่ไม่สามารถพกพาติดตัวได้ให้เก็บรักษาไว้อย่าให้เกิดเสียหายมากขึ้นกว่าเดิม หรือจัดให้คนเฝ้ารักษาไว้เพื่อเป็นหลักฐานในการดำเนินคดีต่อไป
14. แจ้งความจ่ายเช็คโดยไม่มีเงิน
ควรเตรียมหลักฐานไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดังนี้
– เช็คที่ยึดไว้
– หนังสือที่ธนาคารแจ้งขัดข้องหรือปฏิเสธการจ่ายเงิน (ใบคืนเช็ค)
– หลักฐานหรือเอกสารซึ่งเป็นมูลหนี้แห่งที่มาของการจ่ายเช็ค เช่น
1. บิลส่งสินค้ากรณีที่มีการซื้อขายกัน, หนังสือสัญญากู้ยืมเงิน
2. สัญญาซื้อขาย หรือเอกสารอื่นใดที่เป็นหลักฐานแห่งมูลหนี้ของการจ่ายเช็ค
– สำเนาทะเบียนบ้านของผู้แจ้ง
– บัตรประจำตัวประชาชนของผู้แจ้ง
กรณีเป็นเช็คของบริษัท หรือมีการมอบอำนาจ จะต้องมีเอกสารเพิ่มเติมคือ
– หนังสือมอบอำนาจติดอากรแสตมป์ถูกต้อง
– สำเนาทะเบียนบ้านของผู้มอบอำนาจ
– สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบอำนาจ
– เอกสารเกี่ยวกับตัวผู้จ่ายเช็ค (ถ้ามี)
——————————————————————
การชำระค่าปรับ
เมื่อเราทำผิด และได้รับใบสั่งสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ สามารถเลือกปฏิบัติในการชำระค่าปรับตามจำนวนเงินที่ระบุไว้ในใบสั่งของเจ้าพนักงานจราจร ณ สถานที่และภายในวันเวลาที่ระบุไว้ในสั่งได้อย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
1. ชำระที่สถานีตำรวจหรือหน่วยงานตำรวจที่ออกใบสั่งนั้น
2. ชำระ ณ ที่ทำการไปรษณีย์แห่งใดก็ได้
กรณีผู้ได้รับใบสั่งไม่ปฏิบัติตามข้อ 1 หรือ 2 ภายในระยะเวลาที่กำหนดโดยไม่มีเหตุอันควร มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท อีกข้อหาหนึ่งต่างหาก
อัตราปรับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติในฐานะของเจ้าพนักงานจราจรทั่วราชอาณาจักรได้ออกข้อกำหนดแห่งชาติ เรื่องการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์ แบบใบสั่งและกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ โดยได้กำหนดค่าปรับของแต่ละข้อหาไว้ให้พนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่จราจรถือปฏิบัติ ฉะนั้นการจะไปชำระที่สถานีตำรวจหรือชะระทางไปรษณีย์จะต้องชำระในอัตราเดียวกัน
ขั้นตอนการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์
1. ผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถต้องถ่ายเอกสารใบสั่งทั้ง 2 หน้า โดยกรอกข้อความในสำเนาใบสั่งในส่วนของ “บันทึกของผู้ต้องหา” ให้ครบถ้วนพร้อมลงลายมือชื่อ (ใบสั่งตัวจริงเก็บไว้เป็นหลักฐาน.)
2. ไปที่ทำการไปรษณีย์แห่งใดก็ได้พร้อมแจ้งความจำนงว่าจะชำระค่าปรับทางไปรษณีย์
3. เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะมอบใบฝากธนาณัติในประเทศและซองจดหมายจำนวน 2 ซอง
เพื่อดำเนินการ ดังนี้
– กระกรายละเอียดในใบฝากส่งไปรษณีย์ธนาณัติในประเทศสั่งจ่าย “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” ณ ที่ทำการไปรษณีย์ปลายทางตามที่ระบุไว้ในใบสั่ง
– จ่าหน้าซอง โดยซองแรกให้จ่าหน้าถึงหัวหน้าสถานีตำรวจหรือหัวหน้าหน่วยงานตำรวจที่ออกใบสั่ง และซองที่สองให้จ่าตามชื่อที่อยู่ของผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถที่ได้กรอกไว้ในสำเนาใบสั่งส่วนของ “บันทึกผู้ต้องหา” ตามข้อ 1 เพื่อจะส่งใบเสร็จรับเงินและใบอนุญาตขับขี่(หากถูกยึด)คืนให้
– มอบเอกสารตามข้างต้นให้เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ พร้อมชำระค่าปรับจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่งและเงินค่าใช้บริการตามที่ที่ทำการไปรษณีย์เรียกเก็บ
– เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะตรวจความถูกต้องและดำเนินการให้ต่อไป
การใช้ใบรับแทนใบอนุญาตขับขี่เป็นการชั่วคราว
1. ใบรับแทนใบอนุญาต ( ใบสั่ง ) ใช้แทนใบอนุญาตขับขี่ที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ยึดไว้ได้ไม่เกิน 7 วัน นับแต่วันที่ออกใบสั่ง
2. กรณีผู้ขับขี่หรือเจ้าของรถเลือกหรือมีความจำเป็นต้องวิธีการชำระค่าปรับทางไปรษณีย์ธนาณัติ จะต้องดำเนินการภายใน 7 วัน จึงสามารถใช้ใบรับแทนใบอนุญาต ( ใบสั่ง ) ประกอบกับใบรับการส่งธนาณัติแทนใบอนุญาตขับขี่ออกไปได้ 10 วัน นับแต่วันที่ส่งธนาณัติ
จะได้รับใบอนุญาตขับขี่คืนเมื่อใด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติและการสื่อสารแห่งประเทศไทย จัดทำข้อตกลงระหว่างกันเพื่อให้บริการชำระ ค่าปรับทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษในประเทศไทย ( EMS ) ฉะนั้นเมื่อพนักงานสอบสวนของสถานีตำรวจออกใบสั่ง
ได้รับเงินตามธนาณัติแล้วจะต้องส่งใบเสร็จรับเงินและใบอนุญาตขับขี่ ( หากถูกยึด ) คืนให้โดยเร็ว
หมายเหตุ
1. พ.ร.บ.จราจรบนบก พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.จราจรทางบก ( ฉบับที่ 4 ) พ.ศ. 2535
มาตรา 140 และ 141 ประกอบมาตรา 155
2. ข้อกำหนดกรมตำรวจเรื่องชำระค่าปรับทางไปรษณีย์และข้อกำหนดจำนวนค่าปรับตามที่เปรียบเทียบสำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 พ.ศ. 2539 แก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อกำหนดกรมตำรวจเรื่อง
การชำระค่าปรับทางไปรษณีย์ฯ ( ฉบับที่ 3 ) พ.ศ. 2540
——————————————————————————————-
กิจธุระที่ต้องขออนุญาตต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
1. การขออนุญาตแสดงมหรสพชั่วคราว
– ต้องมีหนังสือยินยอมจากเจ้าของสถานที่
– ต้องขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียงด้วย ( ถ้ามี )
– เลิกแสดงมหรสพเวลา 24.00 น.
สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร จะต้องยื่นคำร้องต่อผู้กำกับหรือรองผู้กำกับสถานีตำรวจท้องที่เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
ส่วนต่างจังหวัด จะต้องย่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่ และเมื่อนายอำเภออนุญาตแล้วจะต้องแจ้งให้ตำรวจท้องที่ทราบ
2. การขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง
– ในกรุงเทพมหานคร ต้องยื่นคำร้องต่อผู้อำนวยการเขต
– ในต่างจังหวัดต้องยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่ แล้วนำคำร้องมายื่นต่อผู้กำกับหรือ
รองผู้กำกับท้องที่เพื่อลงความเห็นแล้วส่งกลับไปยังเขตหรืออำเภอเพื่อพิจารณาอนุญาตต่อไป
3. การขออนุญาตจุดดอกไม้เพลิง
– ในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องยื่นคำร้องที่สถานีตำรวจท้องที่เพื่อเสนอเรื่องให้
้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้อนุญาต
– ในต่างจังหวัดให้ยื่นคำร้องต่อนายอำเภอท้องที่
4. การขออนุญาตมีและใช้อาวุธปืน
สามารถยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องที่ ดังนี้
1. กรุงเทพ : ยื่นต่อผู้บังคับการกองทะเบียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ( ลาดพร้าว )
2. ต่างจังหวัด : ยื่นต่อนายอำเภอหรือปลัดอำเภอ
หลักฐานสำหรับการประกอบพิจารณา ที่ต้องนำไปมีดังนี้
1. บัตรประจำตัวประชาชนหรือหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวพร้อมสำเนา
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. หลักทรัพย์ หลักฐานการประกอบอาชีพและรายได้
4. หนังสือรับรองความเหมาะสม เหตุผล ความจำเป็น นิสัยใจคอ ดังนี้
– ถ้าเป็นราษฎรทั่วไป ต้องนำพยานบุคคลที่เชื่อถือได้ไปให้คำรับรองเกี่ยวกับความประพฤติและหลัก
ฐานของผู้ขออนุญาตด้วย
– ถ้าเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง ต้องให้ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ชั้นหัวหน้ากองหรือเทียบเท่า
หรือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด หรือผู้บังคับกองพันทหาร รับรองความประพฤติและตำแหน่งหน้าที่การงาน
– ถ้าเคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ให้นำใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4) ไปแสดงด้วย
5. การขออนุญาตพกพาอาวุธปืนติดตัว
สามารถยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนท้องที่ ดังนี้
1. ยื่นต่อผู้บังคับการกองทะเบียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ลาดพร้าว) สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ในกรุงเทพฯ
2. ยื่นต่อนายอำเภอ หรือปลัดอำเภอ สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด
คุณสมบัติของผู้ขออนุญาตพกพาอาวุธปืนติดตัว
1. เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนอยู่แล้ว
2. เป็นบุคคลประเภทใดประเภทหนึ่งดังต่อไปนี้
– เจ้าพนักงานซึ่งทำหน้าที่ควบคุมทรัพย์สินของรัฐบาล
– ข้าราชการ พนักงาน หรือพนักงานองค์กรรัฐวิสาหกิจ ซึ่งมีหน้าที่ในการปราบปราม หรือการปฏิบัติงานที่เป็นการฝ่าอันตรายหรือเขตทุรกันดาร
– บุคคลซึ่งได้ทำประโยชน์อย่างมากให้แก่ทางราชการในการจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย
– บุคคลที่มีความจำเป็นต้องมีอาวุธปืนติดตัว เพื่อป้องกันอันตรายจากการประทุษร้าย
– บุคคลที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเห็นสมควรอนุญาต
หลักฐานการขออนุญาต
1. สำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการเจ้าพนักงานหรือพนักงานองค์การรัฐวิสาหกิจ
หรือบัตรประจำตัวประชาชน
2. สำเนาใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน (แบบ ป.4)
3. สำเนาทะเบียนบ้าน โดยที่อยู่ของผู้ขออนุญาตที่ระบุไว้ในทะเบียนบ้านจะต้องตรงกับที่อยู่ในแบบ ป.4
4. ภาพถ่ายของผู้ขออนุญาต ขนาด 3 นิ้ว จำนวน 2 รูป โดยถ่ายหน้าต่างแต่งเครื่องแบบ
5. กรณีผู้ขอเป็นข้าราชการ เจ้าพนักงาน หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจ ต้องมีหนังสือรับรองจากผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดว่าเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อยมีเหตุผลและความจำเป็นสมควรได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัวได้
6. กรณีที่ผู้ขอทำงานอยู่ในธุรกิจเอกชน จะต้องมีหนังสือรับรองจากเจ้าของหนังสือผู้จัดการธุรกิจนั้นๆ ว่าผู้ขอเป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย มีเหตุผลและความจำเป็นสมควรได้รับอนุญาตให้พกพาอาวุธปืนติดตัวได้
6. การขอรับโอนมรดกอาวุธปืน ปฏิบัติเช่นเดียวกับการขออนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน หากต้องเตรียมเอกสารเพิ่มเติม ดังนี้
1. ใบมรณะบัตรของผู้ตาย
2. หนังสือพินัยกรรมของผู้ตาย หรือคำสั่งศาลให้เป็นผู้จัดการมรดก (ถ้ามี)
3. ต้องแจ้งขอรับการโอนภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับมรดก
7. การขออนุญาตเล่นการพนันประเภทต่างๆ ควรนำหลักฐานเอกสารดังต่อไปนี้แสดงต่อเจ้าหน้าที่
1. บัตรประจำตัวประชาชน
2. ทะเบียนบ้าน ฉบับเจ้าบ้าน
3. หนังสือมอบอำนาจ พร้อมทั้งสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านของผู้รับมอบอำนาจ ในกรณีที่ผู้ขอมิได้ยื่นคำขอใบอนุญาตด้วยตนเอง
4. โครงการหรืองานที่จะจัดให้มีการเล่นการพนัน (ถ้ามี)
สำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร ต้องยื่นคำขออนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันพร้อมเอกสารดังกล่าวต่อนายตำรวจชั้นสัญญาบัตรประจำท้องที่ซึ่งดำรงตำแหน่งสารวัตรขึ้นไป ส่วนในเขตต่างจังหวัดนั้นให้ยื่นต่อนายอำเภอท้องที่หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอ
8. การขออนุญาตเยี่ยมผู้ต้องหาบนสถานีตำรวจ
– พบเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องหาบนสถานีตำรวจ
– แจ้งชื่อผู้ต้องหาที่ต้องการเยี่ยม
– หลังได้รับอนุญาต ให้เข้าเยี่ยมผู้ต้องหาได้ตามระเบียบที่กำหนด คือ
เวลา 08.00 – 09.00 น.
เวลา 12.00 – 13.00 น.
เวลา 16.00 – 17.00 น.
– อาหารของเยี่ยมของฝากผู้ต้องหา ต้องได้รับการตรวจจากเจ้าหน้าที่ก่อนเสมอ