เมื่อการประกันตัวผ่านมาทั้งในชั้นตำรวจ และอัยการแล้ว อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง พอถึงวันส่งตัวผู้ต้องหาไปศาลพร้อมสำนวน อัยการจะเป็นผู้มีหน้าที่ต้องยื่นคำร้องขอฝากขังต่อศาล เมื่อใดที่ผู้ต้องหาให้การปฎิเสธ ศาลจะรับฟ้อง ฐานะเปลี่ยนจากผู้ต้องหา ตกเป็นจำเลยทันที เมื่อนั้น หากจำเลยต้องการประกันตัวชั้นศาลต่อ ก็ให้ขึ้นไปแจ้งประชาสัมพันธ์ศาลดำเนินการให้ กรณี จำเลยน่าเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ ยากจน ไม่หลบหนี ความผิดไม่ร้ายแรงขัดความสงบ ไม่มีเงินไม่มีหลักประกัน ติดต่อ สำนักงานกองทุนยุติธรรม(กทม) สำนักงานยุติธรรมจังหวัด(อยู่ในศาล) เพื่อขอความช่วยเหลือได้ครับ
ประกันตัวจำเลยในคดีอาญาในศาลต้องทำอย่างไร มีหลักเกณฑ์อย่างไร
การประกันตัวในชั้นศาล
การประกันตัวในชั้นศาลมี 2 ช่วง
ช่วงแรกเมื่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการนำตัวผู้ต้องหามาขอฝากขังต่อศาลและศาลอนุญาตให้ขังซึ่งถือว่าผู้ต้องหาอยู่ในอำนาจควบคุมของศาลแล้ว ช่วงที่ 2 คือช่วงที่ศาลประทับฟ้องของโจทก์แล้ว ผู้ต้องหามีสถานะเป็นจำเลยแล้วซึ่งอาจต้องมีการถูกควบคุมตัวอยู่ในอำนาจของศาล ดังนี้ หากผู้ประกันประสงค์จะขอ
ให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาหรือจำเลยก็จะต้องยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวระหว่างการสอบสวนหรือพิจารณาแล้วแต่กรณีต่อศาล
กำหนดเวลาที่ศาลอนุญาตให้ประกันมีดังนี้ (ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแล้ว)
ชั้นสอบสวนมีกำหนดเวลาเท่ากับระยะเวลาที่ศาลอนุญาตให้ฝากขังจนถึงมีการฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี
ชั้นพิจารณาของศาล สัญญาประกันใช้ได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
เมื่อผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตัวโดยศาล ผู้ประกันสามารถยื่น คำร้องขอปล่อยชั่วคราวโดยใช้หลักประกันได้ดังนี้
1. การใช้หลักทรัพย์เป็นประกัน ได้แก่
1.1 เงินสด
1.2 ที่ดินมีโฉนด หรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 หรือน.ส. 3 ก.)ซึ่งมีหนังสือรับรองราคาประเมิน
ของสำนักงานที่ดินและไม่มีภาระผูกพันอันอาจกระทบต่อการบังคับคดี (จำนอง)
1.3 ห้องชุดมีโฉนดที่ดินและมีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด และต้องไม่มีภาระผูกพันอันอาจกระทบต่อการบังคับคดี
1.4 หลักทรัพย์อย่างอื่นที่กำหนดราคามูลค่าที่แน่นอนได้ เช่น
– พันธบัตรรัฐบาล
– สลากออมสิน
– สลากออมทรัพย์ทวีสินของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
– ใบรับเงินฝากประจำของธนาคาร
– กรมธรรม์ประกันภัย
2. การใช้บุคคลเป็นประกัน (ตำแหน่ง)
– เป็นผู้ดำรงตำแหน่งหน้าที่การงานหรือมีรายได้แน่นอน เช่น ข้าราชการ ข้าราชการบำนาญ พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานของรัฐประเภทอื่น ๆ รวมถึงลูกจ้างของทางราชการหรือรัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานบริษัทเอกชน
– เป็นผู้มีความสัมพันธ์กับผู้ต้องหาหรือจำเลย เช่น บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภริยา ญาติ พี่น้อง ผู้บังคับบัญชา นายจ้าง หรือบุคคลอื่นที่ศาลเห็นว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเสมือนเป็นญาติในทางอื่นที่ศาลเห็นสมควรให้ประกันได้
– อัตราหลักประกัน ให้ทำสัญญาประกันได้ในวงเงินไม่เกิน 10 เท่า ของอัตราเงินเดือนหรือรายได้เฉลี่ยต่อเดือน หากวงเงินประกันมียอดสูงกว่าวงเงินที่ผู้นั้นมีสิทธิประกันได้ ศาลอาจกำหนดให้ผู้ขอประกันวางเงินหรือหลักทรัพย์อื่นเพิ่มเติมให้เพียงพอ กับวงเงินประกันหรืออาจให้มีผู้ขอประกันหลายคนร่วมกัน ทำสัญญาประกันโดยใช้วงเงินของแต่ละคนรวมกันได้
หลักฐานที่ต้องนำมาแสดงในการขอประกันตัวต่อศาล
– บัตรประจำตัวประชาชน บัตรข้าราชการ หรือบัตรแสดงตำแหน่งหน้าที่การงาน ทะเบียนบ้านของจำเลยและผู้ขอประกันพร้อมสำเนา
– หลักทรัพย์ที่ใช้ประกัน เช่น เงินสดโฉนดที่ดิน หนังสือรับรองการ ทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) สมุดเงินฝากประจำพร้อมสำเนา
– หนังสือรับรองจากต้นสังกัดหรือนายจ้าง (กรณีขอประกันตัวด้วยตำแหน่งหน้าที่)
– หนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินจากสำนักงานที่ดิน (กรณีใช้โฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นประกัน)พร้อมสำเนา
– หนังสือรับรองจากธนาคาร (กรณีใช้สมุดเงินฝากประจำเป็นประกัน)
– หนังสือยินยอมของคู่สมรส (กรณีผู้ขอประกันมีคู่สมรส)
หลักเกณฑ์ในการสั่งคำร้องขอประกัน
เมื่อยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาลแล้ว ศาลจะพิจารณาเรื่องเหล่านี้ประกอบในการพิจารณาสั่งคำร้อง คือ
1. ความหนักเบาแห่งข้อหา
2. พยานหลักฐานที่นำสืบแล้วมีเพียงใด
3. พฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีเป็นอย่างไร
4. เชื่อถือผู้ร้องขอประกันหรือหลักประกันได้เพียงใด
5. ผู้ต้องหาหรือจำเลยน่าจะหลบหนีหรือไม่
6. ภัยอันตรายหรือความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจาการปล่อยชั่วคราวมีเพียงใด
7. คำคัดค้านของพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวน
ขั้นตอนการประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย
1. ขอแบบพิมพ์คำร้องขอประกันตัวจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของศาล
2. เขียนคำร้องขอประกันตัวด้วยตนเองโดยขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์หรือให้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เขียนให้
3. ยื่นคำร้องพร้อมหลักฐานที่ใช้ในการขอประกันแก่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
4. เมื่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ได้ตรวจคำร้องและหลักฐานที่ใช้ในการขอประกันเรียบร้อยแล้ว ให้ผู้ต้องหรือจำเลย/นายประกัน ลงชื่อในคำร้องเพื่อเสนอคำร้องดังกล่าวต่อผู้พิพากษาพิจารณาสั่ง
5. เมื่อผู้พิพากษามีคำสั่งอนุญาตให้ประกันแล้ว ถ้าผู้ต้องหาหรือจำเลยถูกควบคุมตัวอยู่ที่ศาลและยังไม่มีการออกหมายขังไว้ก็สามารถนำ
ตัว ผู้ต้องหา/จำเลยออกจากห้องควบคุมของศาลได้ ถ้าผู้ต้องหา/จำเลยถูกคุมขังตามหมายศาลไว้ เจ้าหน้าที่จะนำหมายปล่อยไปปล่อย ณ สถานที่ที่ถูกคุมขังในวันเดียวกัน
6. หากศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ประกัน ผู้ขอประกันสามารถขอรับหลักทรัพย์ที่ยื่นไว้คืนต่อเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์
การขอรับหลักทรัพย์หรือเงินสดคืนจากศาล (การขอถอนหลักประกัน)
เมื่อคดีถึงที่สุด หรือศาลอนุญาตให้ถอนประกัน หรือสัญญาประกันสิ้นสุดลงด้วยเหตุอื่น (กรณีนายประกันไม่ผิดสัญญาประกัน) ความรับผิดตามสัญญาประกันสิ้นสุดลง นายประกันสามารถขอหลักประกันคืนได้ทันทีโดยยื่นคำร้องขอถอนหลักประกันคืนต่อศาลและแนบหลักฐาน คือ ใบรับหลักฐานและใบรับเงินที่ศาลออกให้เมื่อครั้งยื่นขอปล่อยชั่วคราว หากใบรับหลักฐานหรือ ใบรับเงินสูญหายต้องแจ้งความ ต่อเจ้าพนักงานตำรวจและนำใบรับแจ้งความมาแสดงต่อศาล
กรณีศาลสั่งปรับนายประกัน (นายประกันผิดสัญญาประกัน)
ในกรณีที่ศาลสั่งปรับนายประกันตามสัญญาประกัน นายประกันจะต้องนำเงินค่าปรับมาชำระต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกำหนด มิฉะนั้นศาลจะสั่งยึดหลักประกันขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระค่าปรับต่อไป และถ้าได้เงินไม่พอชำระค่าปรับศาลอาจยึดทรัพย์สินอื่น ๆ ของนายประกันมาขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับจนครบ นายประกันที่ศาลสั่งปรับตามสัญญาประกัน มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลได้ภายในกำหนด 1 เดือน หรืออาจนำตัวจำเลยมาส่งศาลและขอลดค่าปรับต่อศาล
ขั้นตอนในการพิจารณาคดีอาญาของศาล
1. ศาลที่รับฟ้อง
การจะยื่นฟ้องที่ศาลใดให้พิจารณาว่าความผิดเกิดขึ้นใน เขตศาลใด หรือจำเลยมีที่อยู่หรือถูกจับในเขตศาลใดหรือพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนในเขตศาลใด ศาลนั้นมีอำนาจพิจารณาคดีในกรุงเทพมหานคร
ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้แก่ ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัดมีนบุรี และศาลแขวงในเขตกรุงเทพมหานคร ในต่างจังหวัด ได้แก่ ศาลจังหวัด และศาลแขวง
การแบ่งแยกอำนาจศาลระหว่างศาลทั่วไปกับศาลแขวงพิจารณาจากอัตราโทษ กล่าวคือ คดีที่มีอัตราโทษอย่างสูงให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อยู่ในอำนาจของศาลแขวง (ในจังหวัดที่ยังไม่มีศาลแขวงเปิดทำการ ศาลจังหวัดจะนำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการผัดฟ้อง การฟ้องและการพิพากษาคดีด้วยวาจา)
2. ข้อควรปฏิบัติเมื่อศาลสั่งประทับฟ้อง
เมื่อศาลประทับฟ้องแล้ว หากจำเลยประสงค์จะต่อสู้คดีควรปฏิบัติ ดังนี้
2 .1 หากศาลมีคำสั่งขังจำเลย จำเลยสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวต่อศาล ทั้งนี้ไม่ว่าจำเลยจะได้รับอนุญาตให้ประกันตัวใน ชั้นสอบสวนหรือชั้นฝากขังหรือไม่ก็ตาม
2 .2 หาทนายความเพื่อช่วยเหลือในการดำเนินคดีต่อไป (โดยติดต่อหาทนายความด้วยตนเองหรือขอให้ศาลตั้งทนายความให้)
2 .3 ตรวจดูสำนวนคดี และสิ่งที่โจทก์ยื่นเป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาคดี
3. การพิจารณาและสืบพยานในศาล
จะกระทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยโดยศาลจะอ่านและอธิบายคำฟ้องให้จำเลยฟังและศาลจะสอบถามจำเลยว่ากระทำความผิดจริงหรือไม่ และจดคำให้การของจำเลยไว้
3.1 กรณีจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลจะพิพากษาคดีโดย ไม่ต้องสืบพยานต่อไปก็ได้ เว้นแต่คดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำความผิดจริงจึงจะพิพากษาลงโทษจำเลย
3.2 กรณีจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยต่อไป โดยศาลจะสั่งนัดสืบพยานโจทก์ก่อน เสร็จแล้วจึงนัดสืบพยานจำเลย หลังจากสืบพยานของทั้ง 2 ฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วศาลจะนัดฟังคำพิพากษาโจทก์มีหน้าที่ต้องมาศาลทุกนัด (นัดสืบพยานโจทก์) หากไม่มา ศาลต้องยกฟ้องเว้นแต่ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มาศาลโดยมีเหตุสมควร ศาลจะสั่งเลื่อนคดีไปก็ได้ หากจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดโดยไม่ได้รับอนุญาต จากศาล ศาลจะออกหมายจับจำเลยและปรับนายประกัน
(ในกรณีจำเลยได้รับการประกันตัว) และหากศาลไม่แน่ใจว่าจะจับจำเลยได้เมื่อใดก็จะจำหน่ายคดีชั่วคราวจนกว่า
จะได้ตัวจำเลยมาพิจารณาคดีต่อไป การสืบพยาน คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนจำเลย
และเมื่อโจทก์สืบพยานเสร็จแล้ว จำเลยจึงนำพยานเข้าสืบต่อไป ก่อนสืบพยานโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงเปิดคดี และหลังจากสืบพยานหลักฐานทั้ง 2 ฝ่ายเสร็จสิ้นแล้วโจทก์และจำเลยมีสิทธิแถลงปิดคดี
คำพิพากษาในคดีอาญา
คำพิพากษาของศาลอาจแยกเป็นพิพากษายกฟ้อง หรือพิพากษาลงโทษ
โทษที่ศาลพิพากษามี 5 สถาน ได้แก่
1. โทษประหารชีวิต (โดยการฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย)
2. โทษจำคุก จำเลยจะถูกจำคุกไว้ในเรือนจำ การคำนวณระยะเวลาจำคุกจะนับวันเริ่มจำคุกรวมเข้าด้วยและนับเป็น 1 วันเต็ม โดยไม่คำนึงถึงจำนวนชั่วโมง ถ้าระยะเวลาจำคุกกำหนดเป็นเดือนให้นับ 30 วันเป็น 1 เดือน ถ้ากำหนดเป็นปี คำนวณตามปีปฏิทิน
3. โทษกักขัง จำเลยจะถูกกักขังไว้ในสถานที่กักขังซึ่งกำหนดไว้อันมิใช่เรือนจำ เช่น สถานีตำรวจหรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
4. โทษปรับ จำเลยต้องชำระเงินตามจำนวนที่ศาลมีคำพิพากษา หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับภายใน 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา จำเลยอาจถูกยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือถูกกักขังแทนค่าปรับ (ถืออัตรา 200 บาทต่อ 1 วัน) อย่างไรก็ตามหากศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะไม่ชำระค่าปรับ ศาลอาจสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับไปก่อนก็ได้ และหากจำเลยเคยถูกควบคุม ตัวมาก่อนไม่ว่าจะเป็นชั้นสอบสวนหรือชั้นพิจารณาของศาลศาลจะนำวันที่จำเลยถูกควบคุมตัวมาหักวันคุมขังให้ด้วยการกักขังแทนค่าปรับนั้นกฎหมายห้ามมิให้กักขังแทนค่าปรับเกินกำหนด 1 ปี เว้นแต่กรณีศาลพิพากษาให้ปรับตั้งแต่ 80,000 บาทขึ้นไป ศาลจะสั่งกักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลา เกินกว่า 1 ปีแต่ไม่เกิน 2 ปีก็ได้
นอกจากนี้ หากศาลพิพากษาลงโทษปรับไม่เกิน 80,000 บาทและจำเลย (เฉพาะบุคคลธรรมดา)ไม่มีเงินชำระค่าปรับจำเลยอาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ แทนค่าปรับได้เมื่อศาลพิจารณาและเห็นสมควรก็จะอนุญาตให้จำเลยทำงานบริการสังคมฯแทนค่าปรับโดยกำหนดจำนวนชั่วโมงที่ถือเป็นหนึ่งวันทำงานต่อไป
5. โทษริบทรัพย์สิน
หากเป็นทรัพย์ซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือเป็นทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้มาโดยการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบได้เว้นแต่ทรัพย์เหล่านั้นเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่แท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด อาจยื่นคำร้องขอคืนต่อศาลได้ ในกรณีที่เป็นทรัพย์สินซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดให้ศาลสั่งริบเสียทั้งสิ้น ไม่ว่าทรัพย์นั้นจะเป็นของผู้ใดก็ตามและผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงไม่อาจร้องขอคืนได้คำพิพากษาของศาลจะทำเป็นหนังสือ ยกเว้นในศาลแขวง คำพิพากษาจะทำด้วยวาจาก็ได้โดยบันทึกไว้พอให้ได้ใจความ จำเลยจะต้องมาฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งตามวันเวลาที่ศาลนัด ถ้าจำเลยไม่มาและศาลมีเหตุสงสัยว่าจำเลยจะหลบหนีหรือจงใจไม่มาศาล ศาลจะออกหมายจับจำเลยเพื่อมาฟังคำพิพากษา ถ้ายังไม่ได้ตัวจำเลยมาศาลภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันออกหมายจับ ศาลอาจอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นลับหลังจำเลยได้ โดยถือว่าจำเลยได้ฟังคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นโดยชอบแล้ว
การอุทธรณ์ ฎีกา
1. เมื่อศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้ว คู่ความมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาได้ภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาให้คู่ความฝ่ายที่ยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาฟังหากยื่นไม่ทันภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว อาจยื่นคำร้อยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ต้องยื่นคำร้องก่อนสิ้นระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วแต่กรณี โดยต้องอ้างเหตุที่ไม่อาจยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ทันภายในกำหนดด้วย
2. คำฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีพอสมควร เช่น ชื่อคู่ความ ผู้อุทธรณ์ ฎีการายละเอียดเกี่ยวกับคำฟ้องโจทก์ คำให้การจำเลยในชั้นต้น หรือในชั้นอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงในทางพิจารณามีอย่างไร และศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาว่าอย่างไร ผู้อุทธรณ์หรือฎีกาไม่เห็นด้วยหรือโต้แย้งคำพิพากษาดังกล่าวนั้นอย่างไร ประเด็นใดพร้อมด้วยเหตุผลและคำขอท้ายอุทธรณ์ ฎีกา เช่น ให้แก้หรือกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น หรือศาลอุทธรณ์ การยื่นคำฟ้องอุทธรณ์หรือคำฟ้องฎีกา ทำได้โดยยื่นต่อศาลชั้นต้นที่พิจารณาพิพากษาคดีนั้น ในกรณีที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์มีสิทธิอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด