

การพิจารณาลดโทษในกระบวนการยุติธรรมไทย มีอยู่ 2 ส่วน คือ
ส่วนที่หนึ่ง “การพิจารณาของศาล” ซึ่งมีช่องทางในการลดโทษตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย เช่น จำเลยยอมรับสารภาพโดยไม่จำนนต่อหลักฐาน จำเลยเป็นเยาวชน จำเลยบันดาลโทสะ หรือสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ซึ่งหากไม่เข้าหลักเกณฑ์เหล่านี้ ศาลก็จะไม่สามารถใชัดุลพินิจลดโทษได้ แบบนี้เรียกว่าลดโทษโดยคำพิพากษาของศาล
ส่วนที่สอง คือ การพิจารณาของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นกระบวนการหลังมีคำพิพากษาของศาลแล้วจากการตรวจสอบพบว่า หลักเกณฑ์การลดโทษหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด นอกเหนือจากการอภัยโทษหรือลดโทษในวาระสำคัญ ๆ ของบ้านเมืองแล้ว ยังมีเกณฑ์การลดโทษที่พิจารณาโดยคณะกรรมการของเรือนจำและกรมราชทัณฑ์อีกด้วย ได้แก่
การ “ลดโทษ” ซึ่งหมายถึง “ลดวันต้องโทษ”เป็นสิทธิ์ที่ผู้ต้องขังหรือนักโทษเด็ดขาดได้รับโดยอัตโนมัติตามความประพฤติของผู้ต้องขัง โดยความประพฤติของนักโทษจะกำหนดเป็นชั้น มี 6 ชั้น แต่ชั้นที่จะได้รับการลดโทษมี 3 ชั้น คือ ผู้ต้องขังชั้นเยี่ยม ได้ลดโทษเดือนละ 5 วัน ผู้ต้องขังชั้นดีมากได้ลดโทษเดือนละ 4 วัน ผู้ต้องขังชั้นดี ได้ลดโทษเดือนละ 3 วัน
การลดวันต้องโทษถือเป็นสิทธิ์ เมื่อประพฤติดีก็จะได้รับโดยอัตโนมัติ นอกจากนั้น การอาสาสมัครออกทำงานสาธารณะ ก็จะได้รับการลดโทษเท่าจำนวนวันที่ออกทำงานด้วย ระยะหลัง ๆ มีข่าวว่า อัตราการลดโทษมีถึงขั้น เป็นนักโทษชั้นเยี่ยม ติด 1 วัน ลด 1 วัน กันเลยทีเดียว
อีกแบบหนึ่งเรียกว่าการ “พักโทษ” หรือ “พักการลงโทษ” จะพิจารณาเป็นรายๆ ไปไม่ได้เป็นสิทธิ์ที่ได้โดยอัตโนมัติ
หลักเกณฑ์การพักโทษ คือ ต้องเป็นนักโทษเด็ดขาด คือคดีถึงที่สุดแล้ว และจำคุกมาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ หากจำคุกมาแล้ว 1 ใน 3 ก็จะเข้าเกณฑ์การขอพักโทษ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการพักโทษ เพราะต้องผ่านคณะกรรมการระดับเรือนจำก่อน
ส่วนระยะเวลาของการพักโทษ แบ่งตามชั้นของนักโทษเช่นกัน คือ ชั้นเยี่ยม ได้พักไม่เกิน 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ ชั้นดีมาก ได้พักไม่เกิน 1 ใน 4 ของกำหนดโทษ และชั้นดี ได้พักไม่เกิน 1 ใน 5 ของกำหนดโทษ
แต่การลดโทษในขั้นตอนของราชทัณฑ์ ถูกมองว่าผิดหลักสากล เพราะไม่มีหน่วยงานตัดสินคดีอย่าง “ศาล” ร่วมอยู่ด้วยในกระบวนการตัดสินใจ ผิดกับในต่างประเทศ ที่การลดโทษ หรือพักโทษ ต้องมีผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนั้นๆ ลงนามยินยอมด้วย
แม้ล่าสุดจะมีการปรับปรุงกฎหมายราชทัณฑ์ไทย เปิดให้ “ตัวแทนจากศาลยุติธรรม” เข้าร่วมเป็นกรรมการพิจารณาด้วยก็ตาม แต่ที่ผ่านมาก็ทำกันโดยเสรี จนถูกวิจารณ์ว่าหลายๆ กรณีอาจเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ต้องขังที่มีฐานะร่ำรวยหรือมีอิทธิพล ขณะที่ทางฝั่งศาลเอง ผู้พิพากษาบางรายก็มองว่าการลดโทษลักษณะนี้เท่ากับเป็นการ “เปลี่ยนแปลงคำพิพากษา” หรือไม่