โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 10,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

เงิน 10,000 บาท ที่จำเลยในฐานะประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองรับไปจากศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดหนองบัวลำภู เป็นเงินที่ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการจัดสรรมาให้ศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมือง เงินดังกล่าวถือเป็นเงินของทางราชการที่ต้องนำส่งเป็นเงินรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองทั้งสิ้น กรณีมิใช่เป็นเงินที่มีผู้อุทิศให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่จำเลยฎีกา จำเลยในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองและในฐานะประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองย่อมจะต้องทราบดีว่า จะต้องเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้อย่างไร การที่จำเลยอ้างว่า จำเลยมีความขัดแย้งกับ ส. ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองจนไม่สามารถจัดการแข่งขันกีฬาได้ ก็มิได้เป็นเหตุให้จำเลยมีหน้าที่หรือจำต้องเก็บรักษาเงินไว้เอง การที่จำเลยเก็บรักษาเงินไว้เองโดยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการและไม่เคยแจ้งให้คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองทราบ พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเจตนาเบียดบังเงินดังกล่าวเป็นของตนเองโดยทุจริต แม้ต่อมาจำเลยจะคืนเงินดังกล่าวให้แก่คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง แต่ก็เป็นเวลาภายหลังจากมีการร้องทุกข์แล้ว จึงหาเป็นเหตุให้รับฟังได้ว่าจำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8088/2561 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่าขณะเกิดเหตุจำเลยดำรงตำแหน่งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมือง องค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองได้จัดตั้งศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง เพื่อส่งเสริมการเล่นกีฬาและพัฒนาการกีฬาในระดับตำบล มีจำเลยเป็นประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2546 จำเลยในฐานะประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองได้รับเงินอุดหนุนการจัดกิจกรรมกีฬาของศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองจากศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นเงิน 10,000 บาท เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการจัดกิจกรรมกีฬาของศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2546 หลังจากได้รับเงินดังกล่าวมาแล้ว จำเลยได้เก็บเงินไว้เองโดยไม่นำส่งให้คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองเก็บรักษา วันที่ 17 ตุลาคม 2546 นายอุทัย และจ่าสิบเอกอริยะ กรรมการและรองประธานกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองมอบอำนาจให้นายสมปราชญ์ กรรมการและเลขานุการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีต่อจำเลย วันที่ 10 พฤศจิกายน 2546 จำเลยลาออกจากตำแหน่งประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองและมอบเงิน 10,000 บาท ให้แก่คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองได้เลือกประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองคนใหม่และมีมติให้นำเงิน 10,000 บาท ดังกล่าวสมทบกับเงินสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์เพื่อจัดการแข่งขันกีฬาในปี 2547 ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2546 จำเลยลาออกจากตำแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมือง เห็นว่า เงิน 10,000 บาท ที่จำเลยไปรับจากศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดหนองบัวลำภู จำเลยรับไปในฐานะประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองและเป็นเงินที่ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดหนองบัวลำภู ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการจัดสรรมาให้ศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมือง เงินดังกล่าวถือเป็นเงินของทางราชการที่ต้องนำส่งเป็นเงินรายได้ขององค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองทั้งสิ้น กรณีมิใช่เป็นเงินที่มีผู้อุทิศให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองเป็นการเฉพาะเจาะจงว่าให้กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งดังที่จำเลยฎีกา จำเลยในฐานะนายกองค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมืองและในฐานะประธานศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองย่อมจะต้องทราบดีว่า จะต้องเก็บรักษาเงินดังกล่าวไว้อย่างไร โดยปฏิบัติเหมือนเช่นปีก่อน ๆ ที่ผ่านมา การที่จำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยกับนายสมปราชญ์ซึ่งดำรงตำแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลโนนเมือง มีความขัดแย้งกันจนไม่สามารถจัดการแข่งขันกีฬาได้ ก็ไม่ได้เป็นเหตุให้จำเลยมีหน้าที่หรือจำต้องเก็บรักษาเงินไว้เอง และการที่จำเลยเก็บรักษาเงินไว้เองโดยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการ ที่สำคัญไม่เคยแจ้งให้คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมืองทราบ พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเจตนาเบียดบังเงินดังกล่าวเป็นของตนเองโดยทุจริต แม้ต่อมาจำเลยจะคืนเงิน 10,000 บาท ให้แก่คณะกรรมการศูนย์กีฬาตำบลโนนเมือง แต่ก็เป็นเวลาภายหลังจากที่นายสมปราชญ์ไปร้องทุกข์แล้ว จึงหาเป็นเหตุให้รับฟังได้ว่า จำเลยมิได้มีเจตนาทุจริตเบียดบังเงินดังกล่าวไปเป็นของตนเอง พยานหลักฐานโจทก์ดังกล่าวมาเมื่อรับฟังประกอบกับคำรับสารภาพของจำเลย เชื่อได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น