ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 ระบุว่า เด็กที่เกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชาย ถือเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้หญิงเพียงฝ่ายเดียว ยกเว้นเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้เป็นอย่างอื่น แต่เด็กจะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาด้วยหรือไม่นั้น แม้ว่ากฎหมายได้ตั้งข้อสันนิษฐานไว้ว่า เด็กที่เกิดจากมารดาขณะที่อยู่กินกับชายผู้เป็นบิดา ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายด้วย แต่ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ยังจะต้องพิจารณาเงื่อนไขของกฎหมายหรือต้องดูข้อเท็จจริงอีกหลายประการ
ดังนั้นการจดทะเบียนรับรองบุตร จึงเป็นวิธีที่ทำให้บุตรนอกสมรสกลายเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฎหมายของบิดา แม้บิดาและมารดาจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันก็ตาม
เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้สมรสกัน จะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อใด?
การที่เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมาย จะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1547 ระบุแนวทางดำเนินการให้เด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายกรณีที่บิดามารดาไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ดังนี้
1.บิดามารดาได้จดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง ซึ่งมีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด กรณีนี้เป็นวิธี ที่ง่ายที่สุดถ้าบิดาและมารดาของเด็กสมัครใจจดทะเบียนสมรสกันภายหลัง
2.บิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตร ซึ่งมีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด มี 3 วิธี คือ
2.1 การจดทะเบียนรับรองบุตรในสำนักทะเบียน
2.2 การจดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียน
2.3 การจดทะเบียนรับรองบุตรนอกสำนักทะเบียนในท้องที่ห่างไกล
ขั้นตอนในการจดทะเบียน คือ บิดาต้องยื่นคำร้องขอจดทะเบียนรับรองบุตรต่อนายทะเบียน ณ สำนักทะเบียนอำเภอ หรือสำนักทะเบียนเขต พร้อมทั้งแนบเอกสารที่ต้องใช้ในการจดทะเบียน เช่น บัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หนังสือแสดงความยินยอมของบุตร และหนังสือแสดงความยินยอมของมารดาของบุตรก่อนรับจดทะเบียน นายทะเบียนจะทำการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงจากพยานบุคคล เช่น บิดามารดา กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อนบ้าน เพื่อให้ได้ความจริงเสียก่อน กฎหมายได้กำหนดไว้ว่า บิดาจะจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายได้ต่อเมื่อ ได้รับความยินยอมของเด็กและมารดาเด็ก ดังนั้น เด็กและมารดาเด็กต้องให้ความยินยอมในการจดทะเบียนทั้งสองคน ซึ่งอาจมาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียนก็ได้ ในกรณีที่เด็กและมารดาไม่ได้มาให้ความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน ให้นายทะเบียนแจ้งการขอจดทะเบียนไปยังเด็กและมารดา ถ้าทั้งสองคนไม่คัดค้านหรือไม่ให้ความยินยอมภายใน 60 วันนับแต่ได้รับแจ้ง (ถ้าเด็กและมารดาอยู่ต่างประเทศให้ขยายเวลาเป็น 180 วัน) ให้สันนิษฐานว่าเด็กหรือมารดาเด็กไม่ให้ความยินยอม
3.มีคำพิพากษาของศาลว่าเป็นบุตร กรณีที่เด็กหรือมารดาเด็กคนใดคนหนึ่งคัดค้านว่าผู้ขอจดทะเบียนไม่ใช่บิดา หรือไม่ให้ความยินยอมหรือไม่อาจให้ความยินยอมได้ เช่น เด็กเป็นผู้เยาว์ไร้เดียงสา มารดาเด็กถึงแก่กรรมไปแล้ว เป็นต้น การจดทะเบียนรับรองบุตรต้องมีคำพิพากษาของศาล เมื่อศาลได้พิพากษาให้บิดาจดทะเบียนเด็กเป็นบุตรแล้ว บิดาก็สามารถนำคำพิพากษาไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนต่อไป เมื่อดำเนินการแล้วมีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด
4.นอกจากนี้ยังมีกรณี การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีได้เฉพาะกรณี
4.1.เมื่อมีการข่มขืนกระทำชำเรา ฉุดคร่า หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังหญิงอย่างผิดกฎหมาย
4.2.เมื่อมีการลักพาหญิงไปในทางชู้สาว หรือมีการล่อลวงร่วมประเวณีกับหญิง
4.3.เมื่อมีเอกสารของบิดาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเด็กคนนั้นเป็นบุตรของตน
4.4.เมื่อปรากฏในทะเบียนคนเกิดหรือสูติบัตรว่าเด็กเป็นบุตร โดยมีหลักฐานว่าบิดาเป็นผู้แจ้งการเกิดหรือรู้เห็นยินยอมในการแจ้งนั้น
4.5.เมื่อบิดามารดาได้อยู่กินกันอย่างเปิดเผย
4.6.เมื่อมีการร่วมประเวณีกับหญิงในระยะเวลาที่หญิงนั้นอาจตั้งครรภ์ได้ และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเด็กนั้นมิใช่บุตรของชายอื่น
4.7.เมื่อมีพฤติการณ์ที่รู้กันทั่วไปตลอดมาว่าเด็กเป็นบุตรของชาย ซึ่งพิจารณาข้อเท็จจริงที่แสดงความเกี่ยวข้องฉันพ่อลูก เช่น การส่งเสียให้เล่าเรียน ให้การอุปการะเลี้ยงดู หรือยอมให้ใช้นามสกุลของชาย
ไม่จดทะเบียนรับรองบุตร มีผลอย่างไร?
เด็กเสียสิทธิ์ที่ควรได้จากบิดา เช่น การใช้นามสกุลบิดา หรือการรับมรดก
• เรียกร้องให้บิดาจ่ายค่าเลี้ยงดูไม่ได้
• แม้บิดาจะรับรองว่าเป็นบุตรนอกกฎหมาย (แต่ไม่ได้จดทะเบียนรับรองบุตร) หากจะรับมรดกของบิดาก็ยังต้องดำเนินการพิสูจน์ตัวตนว่าเป็นบุตรที่แท้จริง
• หากจะรับบำเหน็จตกทอดจากบิดาที่เป็นราชการและเสียชีวิต จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลก่อน
• หากบิดาเสียชีวิตจากการถูกผู้อื่นกระทำ บุตรจะไม่สามารถฟ้องร้องสิทธิ์หรือไม่มีอำนาจตัดสินใจให้ดำเนินการตามกฎหมายได้
• บุตรและบิดาต่างใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีไม่ได้
ระยะเวลาในการดำเนินการยื่นคำร้องรับรองบุตรต่อศาลใช้เวลานานไหม?
– ศาลจะนัดไต่สวนคำร้องไม่น้อยกว่า 45 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้อง
– ภายในเวลา 15 วัน ผู้ร้องต้องนำมารดาและบุตรไปให้ถ้อยคำต่อผู้อำนวยการสถานพินิจฯ เพื่อรายงานข้อเท็จจริงเสนอความเห็นต่อศาลประกอบในการพิจารณาคำร้อง
– ในวันนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องพร้อมมารดาและบุตร นำเอกสารพยานหลักฐานต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในบัญชีพยาน เพื่อทำการไต่สวนคำร้อง
– เมื่อพ้นกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ผู้ร้องสามารถขอคัดสำเนาคำสั่งศาลโดยให้เจ้าหน้าที่รับรองและขอออกใบสำคัญแสดงว่าคดีถึงที่สุด เพื่อนำเอกสารดังกล่าวยื่นต่อนายทะเบียนเพื่อจดทะเบียนรับรองบุตรต่อไป
– ใช้ระยะเวลานับตั้งแต่ยื่นคำร้อง จนศาลมีคำสั่ง/พิพากษา ใช้เวลาประมาณ 60 วัน