การที่จะถือว่าเป็นสาธารณภัยต้องเป็นภัยที่เกิดแก่คนหมู่มากอันมีผลกระทบต่อสาธารณชน ได้ความว่าบ้านพักของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ที่ซอยประชาชื่น 35 มีการยกระดับถนนประชาชื่นสูงกว่าถนนในซอย ทำให้ระดับบ้านของจำเลยมีน้ำท่วมขังในเวลาที่ฝนตกหนัก สาเหตุที่น้ำท่วมบ้านของจำเลยเกิดจากการระบายน้ำในท่อไม่ทัน แต่เมื่อฝนหยุดตก 5 ถึง 6 ชั่วโมง น้ำจึงระบายออกหมด การที่น้ำท่วมบ้านจำเลยดังกล่าวยังไม่ถือว่าเป็นสาธารณภัย จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุสาธารณภัยเพื่อให้ตนเองพ้นผิดในการใช้รถยนต์เทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทไปใช้โดยขัดต่อระเบียบหาได้ไม่ ทั้งจำเลยนำทรายพิพาทไปคืนหลังเกิดเหตุแล้วถึง 5 เดือน ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่ส่อเจตนาว่า จำเลยนำทรายพิพาทไปใช้เพื่อประโยชน์ของจำเลย ไม่ใช่เป็นการยืมทรายพิพาทแล้วนำมาใช้คืนตามที่กล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีสั่งการให้ใช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคตขนย้ายทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติสำหรับองค์ประกอบตามความผิด ป.อ. มาตรา 147 และ 151 ผู้กระทำความผิดต้องเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ได้เบียดบังทรัพย์ที่ตนมีหน้าที่ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งดังกล่าวโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ พยานโจทก์ที่นำสืบมาไม่ได้เบิกความยืนยันว่า จำเลยมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด อย่างไร เพียงได้ความแต่ว่าจำเลยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองคูคต มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย สั่งอนุญาตและอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเทศบาลและมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อหรือจ้างทุกวิธีที่ใช้จ่ายจากเงินรายได้ไม่จำกัดวงเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนการจัดซื้อทรายพิพาทได้ความว่าอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของฝ่ายโยธา ในขณะที่การจัดการดูแลรับผิดชอบรถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคต เป็นหน้าที่ของงานป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยของเทศบาลเมืองคูคต เห็นได้ว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเกี่ยวกับงานราชการของเทศบาลเมืองคูคต ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 และ 151 แต่การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีสั่งการให้ใช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลเมืองคูคตจึงเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 157
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 157 ให้จำเลยคืนทรายและน้ำมันหรือเงินสดจำนวน 1,781 บาท แก่เทศบาลเมืองคูคต และนับโทษต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ. 6450/2558 ของศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6792/2561 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี ระหว่างวันที่ 2 ธันวาคม 2551 ถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555 และเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายสั่งอนุญาตและอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเทศบาลเมืองคูคต เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2552 จำเลยโทรศัพท์บอกนายอนุสรณ์ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยเทศบาลเมืองคูคต ให้ขนกระสอบบรรจุทรายของเทศบาลเมืองคูคตที่ซื้อมาเพื่อป้องกันน้ำท่วมในเขตเทศบาลเมืองคูคตไปที่บ้านของจำเลยเพื่อใช้ป้องกันน้ำท่วมบ้านของจำเลยจำนวน 40 กระสอบ นายอนุสรณ์จึงสั่งให้นายณรงค์ฤทธิ์ พนักงานจ้างตามภารกิจ ทำหน้าที่หัวหน้าเวรชุดที่ 1 งานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เทศบาลเมืองคูคต จัดรถและคนเพื่อขนกระสอบทรายจำนวน 40 กระสอบ คิดเป็นเงิน 680 บาท ขึ้นรถกระบะหมายเลขทะเบียน บง 3974 ปทุมธานี ของเทศบาลเมืองคูคตไปที่บ้านของจำเลยซึ่งอยู่ในซอยประชาชื่น 35 แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื่อ กรุงเทพมหานคร โดยมีนายนภดล ขับรถกระบะ หมายเลขทะเบียน บ 3677 ปทุมธานี ของเทศบาลเมืองคูคตอีกคันหนึ่ง นำพนักงานเทศบาลอีก 3 คน ไปด้วย เมื่อไปถึงบ้านของจำเลย จำเลยและภริยาสั่งให้พนักงานเทศบาลเมืองคูคตช่วยกันขนกระสอบทรายไปวางเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมหน้าประตูบ้านแล้วเดินทางกลับสำนักงานเทศบาลเมืองคูคต และในวันดังกล่าวมีการเติมน้ำมันรถกระบะหมายเลขทะเบียน บง 3974 ปทุมธานี คันที่ใช้ขนกระสอบทรายจำนวน 40 ลิตร เป็นเงิน 1,101.60 บาท ต่อมาจำเลยในฐานะนายกเทศมนตรีเมืองคูคตได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าน้ำมันรถดังกล่าวจากเงินงบประมาณของเทศบาลเมืองคูคต
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 หรือไม่ โจทก์มีนายอนันต์ ผู้อำนวยการกองช่าง เทศบาลเมืองคูคต และนายจิระ หัวหน้าฝ่ายการโยธา เทศบาลเมืองคูคต ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับทรายพิพาทที่จำเลยสั่งให้พนักงานเทศบาลเมืองคูคตนำไปใช้ป้องกันน้ำท่วมบ้านจำเลยซึ่งอยู่นอกเขตเทศบาลเมืองคูคตเป็นพยานเบิกความยืนยันว่า ตามระเบียบปฏิบัติการนำทรายที่เทศบาลเมืองคูคตจัดซื้อเพื่อไว้ใช้ในการป้องกันน้ำท่วม กรณีปกติทั่วไปชาวบ้านที่มาขอต้องเขียนคำร้องเพื่อจะได้ทราบว่าผู้ใดเอาไปบ้างเป็นจำนวนเท่าใด และลงหลักฐานการเบิกจ่ายไว้โดยเสนอคำร้องให้ผู้มีอำนาจอนุมัติ และหากเป็นกรณีที่นำทรายดังกล่าวออกไปใช้นอกเขตพื้นที่เทศบาลเมืองคูคตจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บริหารก่อน แต่ทรายพิพาทที่จำเลยสั่งให้พนักงานเทศบาลเมืองคูคตนำไปใช้ป้องกันน้ำท่วมบ้านของจำเลย ซึ่งอยู่นอกเขตเทศบาลเมืองคูคต พยานโจทก์ทั้งสองไม่ทราบเรื่องและไม่มีการรายงานเรื่องดังกล่าวให้ทราบ ส่วนการใช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทดังกล่าวก็ได้ความจากนายอนุสรณ์ หัวหน้าฝ่ายป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยพยานโจทก์ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องดังกล่าว เบิกความยืนยันว่า การใช้รถยนต์ของเทศบาลต้องยื่นคำร้องต่อหัวหน้างานและหัวหน้าฝ่ายป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อย แล้วเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อขออนุญาตตามระเบียบเทศบาลเมืองคูคตว่าด้วยการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 แต่การใช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทไปบ้านจำเลยไม่ได้ขออนุญาตใช้รถยนต์จากผู้บังคับบัญชาตามระเบียบ ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า เป็นการขอยืมทรายพิพาทไปใช้ก่อนเพื่อนำไปใช้ในการป้องกันน้ำท่วมซึ่งเป็นการบรรเทาสาธารณภัยที่เกิดขึ้นที่บ้านจำเลย จำเลยมีสิทธินำรถยนต์ขนทรายพิพาทได้ไม่เป็นการขัดต่อระเบียบและเมื่อภัยพิบัติได้ล่วงพ้นไปจำเลยนำทรายพิพาทคืนให้แก่เทศบาลเมืองคูคตแล้วนั้น เห็นว่า การที่จะถือว่าเป็นสาธารณภัยต้องเป็นภัยที่เกิดแก่คนหมู่มาก อันมีผลกระทบต่อสาธารณชน แต่ได้ความตามเอกสารแก้ข้อกล่าวอ้างของจำเลย ข้อที่ 13 ว่า ซอยประชาชื่น 35 ซึ่งบ้านจำเลยตั้งอยู่เดิมชื่อซอยศิริโรจน์ ลักษณะเป็นซอยตันในหมู่บ้านศิริโรจน์ที่สร้างประมาณปี 2514 ถึง 2515 มีบ้านเพียง 14 หลัง ประมาณปี 2520 ถึงปี 2521 มีการยกระดับถนนประชาชื่นสูงกว่าถนนในซอยประชาชื่น 35 ประมาณ 35 ถึง 70 เซนติเมตร และขยายผังการจราจรจาก 2 ช่องเดินรถเป็น 4 ช่องเดินรถ ทำให้ระดับบ้านของจำเลยในซอยประชาชื่น 35 เริ่มมีปัญหาเกิดน้ำท่วมในเวลามีฝนตกหนัก ทั้งจำเลยเบิกความรับว่า สาเหตุการที่น้ำท่วมบ้านจำเลยในซอยประชาชื่น 35 เกิดจากก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ฝนตกหนัก 3 ชั่วโมง ทำให้ระบายน้ำในท่อไม่ทัน แต่เมื่อฝนหยุดตก 5 ถึง 6 ชั่วโมง น้ำจึงระบายออกหมด การที่น้ำท่วมบ้านจำเลยดังกล่าวยังไม่อาจถือได้ว่าเหตุดังกล่าวเป็นสาธารณภัย จำเลยจะอ้างเป็นเหตุสาธารณภัยเพื่อให้ตนเองพ้นผิดในการใช้รถยนต์เทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทไปใช้โดยขัดต่อระเบียบปฏิบัติหาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นการยืมทรายพิพาทไปใช้ชั่วคราวก็ไม่มีระเบียบปฏิบัติที่จะกระทำได้ ส่วนสภาพทรายพิพาทจำเลยก็เบิกความรับว่า เป็นทรายขี้เป็ด หลังจากถูกน้ำท่วมแล้วภายหลังจะแห้งแข็งไม่สามารถนำไปใช้งานได้อีก ทั้งได้ความว่า จำเลยนำทรายพิพาทไปคืนหลังเกิดเหตุแล้ว 5 เดือน เป็นพฤติการณ์ที่ส่อเจตนาของจำเลยว่า จำเลยนำทรายพิพาทไปเพื่อประโยชน์ของจำเลย ไม่ใช่เป็นการยืมทรายพิพาทแล้วนำมาใช้คืนตามที่จำเลยอ้าง การกระทำของจำเลยเป็นการอาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีสั่งการให้ใช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคตขนย้ายทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ถูกต้องตามระเบียบปฏิบัติ แต่เห็นว่า องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 ผู้กระทำผิดต้องเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ได้เบียดบังทรัพย์ที่ตนมีหน้าที่ดังกล่าวเป็นของตนโดยทุจริตหรือใช้อำนาจในตำแหน่งดังกล่าวโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ แต่พยานโจทก์ที่นำสืบไม่ได้เบิกความยืนยันว่า จำเลยมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด อย่างไร เมื่อพิจารณาตามรายงานและสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ประกอบระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2535 และหน้าที่รับผิดชอบของหน่วยงานในเทศบาลเมืองคูคตเอกสารท้ายฎีกา ซึ่งโจทก์ไม่ได้แก้ฎีกาคัดค้านได้ความว่า จำเลยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองคูคต มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบาย สั่งอนุญาตและอนุมัติเกี่ยวกับราชการของเทศบาลและมีอำนาจสั่งอนุญาตให้ซื้อหรือจ้างทุกวิธีที่ใช้จ่ายจากเงินรายได้ไม่จำกัดวงเงินตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างทรายพิพาทเป็นหน้าที่ของงานพัสดุและทรัพย์สิน และได้ความว่า ทรายพิพาทที่จัดซื้อมาได้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของฝ่ายโยธา และการจัดการดูแลรับผิดชอบรถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคต เป็นหน้าที่ของงานป้องกันและรักษาความสงบเรียบร้อยของเทศบาลเมืองคูคต จะเห็นได้ว่า จำเลยมีส่วนเกี่ยวข้องเพียงเป็นผู้อนุมัติเกี่ยวกับงานราชการของเทศบาลเมืองคูคต ไม่ได้มีหน้าที่โดยตรงในการซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 แต่การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาศัยอำนาจในตำแหน่งนายกเทศมนตรีสั่งการให้ใช้รถยนต์ของเทศบาลเมืองคูคตขนทรายพิพาทไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาลเมืองคูคตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 และ 151 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนฎีกาข้ออื่นของจำเลยไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน และเห็นควรปรับบทลงโทษและกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ที่ศาลล่างทั้งสองยังไม่ได้พิพากษาให้ถูกต้อง
ส่วนจำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น เห็นว่า จำเลยเป็นนายกเทศมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการส่วนท้องถิ่นที่ต้องทำงานใกล้ชิดกับประชาชนและปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนโดยส่วนรวมแต่กระทำผิดเสียเอง โดยใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่นำทรัพย์ที่ต้องบริการแก่ประชาชนไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตนโดยไม่ชอบ เป็นพฤติการณ์ร้ายแรง ที่จำเลยฎีกาอ้างเหตุมีคุณความดีในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ มีอายุมากและมีโรคประจำตัวเป็นเหตุผลความจำเป็นส่วนตัวของจำเลย ไม่มีเหตุเพียงพอที่จะรอการลงโทษให้จำเลย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น